เริมเกมในครึ่งเวลาแรก ทั้งสองทีมเล่นกันอย่างรัดกุมและเข้าบอลกันค่อนข้างหนักตัดฟาล์วก่อนเข้าถึงเขตโทษด้วยกันทั้งสองฝ่าย 

โดยฝั่งอุรุกวัยได้ลุ้นจากจังหวะฟรีคิกแต่กอนซาเลซโหม่งไปเข้ามือบุฟฟ่อนรับสบาย

ด้านอิตาลีที่มีโอกาสบ้างจากจังหวะฟรีคิกระยะ  35 หลา ปิร์โล่ซัดเข้ามาบอลพุ่งจะเสียบใต้คานอยู่แล้วแต่มุสเรล่ายังกระโดดปัดออกไปได้

 เกมดำเนินมาถึงนาที 29 อิตาลีเริ่มเซตเกมรุกบุกใส่อุรุกวัยได้มากขึ้นและมีโอกาสจากจังหวะที่เด ชิโญ่วางบอลไปให้อิมโมบิเล่ได้วอลเล่ย์แต่บอลก็เหินข้ามคานไปไกล

นาที 33 อุรุกวัยเกือยได้ประตูออกนำก่อนจาก ซัวเรซเล่นวันทูกับโลเดโร่หลุดเข้าไปดวลตัวต่อตัวกับบุฟฟ่อนแต่นายทวารจอมเก๋าออกมาปิดมุมได้เร็วทำให้ซัวเรซยิงติดเซฟ

แม้ลูกจะมาเข้าทางโลเดโร่ได้ยิงอีกหนแต่บุฟฟ่อนก็ยังตามมาเซฟได้อีกครั้ง

ช่วงทดเวลาบาดเจ็บของครึ่งแรกอุรุกวัยได้ลุ้นจากจังหวะเตะมุมแต่คาวานี่ดันไปหลงเหลี่ยมคิเอลลินี่โดนจับฟาล์วไป ทำให้จบครึ่งแรกทั้งสองทีมยังทำอะไรกันไม่ได้เสมอกันอยู่ 0-0

กลับมาสตาร์ทเกมในครึ่งหลังรูปเกมยังคงเหมือนเดิม จนเข้านาที 58   อุรุกวัยพลาดโอกาสขึ้นนำ เมื่อโรดริเกซเล่นหนึ่งสองกับซัวเรซหลุดเดี่ยวเข้าไปในเขตโทษ

แต่จังหวะสุดท้ายดันยิงหลุดเสาออกไป

ถัดมานาทีเดียวเกิดเหตุการณ์ที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของเกมขึ้นเมื่อมาร์คิซิโอมาโดนใบแดงจากจังหวะที่เข้าไปยันใส่ผู้เล่นอุรุกวัย 

นาที 66 บุฟฟ่อนโชว์ซุปเปอร์เซฟ ช่วยชีวิตอิตาลีไว้อีกหนคราวนี้เป็นซัวเรซที่เก็บตกบอลคาวานี่ลากลุยเข้าไปในเขตโทษยิงเล่นทางแล้วแต่ บุฟฟ่อนยังไวใช้มือปัดออกไปได้

หลุยส์ ซัวเรซ แอบใช้ฟันกัด จอร์โจ้ คิเอลลินี่ บริเวณหัวไหล่ ในจังหวะแย่งโหม่งในเขตโทษ โดย กองหลัง อิตาลี ลุกขึ้นมาโวยใหญ่ แต่ มาร์โก โรดริเกซ ผู้ตัดสิน 

มองไม่เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เลยไม่ว่าอะไร

นาที 81 แฟนบอลอุรุกวัยได้เฮกันทั้งสนามเมื่อทีมรักได้ประตูขึ้นนำจากจังหวะเตะมุมที่แกสตัน รามิเรสเปิดเข้ากลางแล้วเป็นโกดินที่ขึ้นคนเดียว

โหม่งผ่านมือบุฟฟ่อนตุงตาข่าย อุรุกวัยขึ้นนำ 1-0

ในช่วงทดเวลาอิตาลีพยายามบุกอย่างหนักแต่ก็ไม่สามารถทวงประตูคืนได้ทำให้จบเกมอุรุกวัยเอาชนะไปได้ 1-0 ผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จ

ข้อมูลจาก : thanonline